วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วรรณคดี (Literature)

วรรณคดีไทยและประวัติวรรณคดีไทย

วรรณคดี แปลว่าเรื่องที่แต่งเป็นหนังสือ มีความหมายตรงกันคำว่า Literature ในภาษาอังกฤษ แต่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้คำจำกัดความของวรรณคดีว่า หนังสือที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดี ปรากฏครั้งแรกในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งวรรณคดีสโมสร เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัว
วรรณคดี คือ ความรู้สึกนึกคิดของกวี ซึ่งถอดออกมาจากจิตใจให้ปรากฎเป็นรูปหนังสือ มีถ้อยคำเหมาะเจาะเพราะพริ้ง เร้าใจให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเกิดความรู้สึก
วรรณคดี คือ หนังสือที่มีลักษณะเรียบเรียงถ้อยคำเกลี้ยงเกลาเพราะพริ้งมีรสปลุกมโนคติ ( imagination ) ให้เพลิดเพลิน เกิดกระทบกระเทือนอารมณ์ต่าง ๆ เป็น ไปตามอารมณ์ของผู้ประพันธ์บทประพันธ์
วรรณคดี คือ บทประพันธ์ที่มุ่งให้ความเพลิดเพลิน ให้เกิดความรู้สึกนึกคิด ( imagination ) และอารมณ์ต่าง ๆ ตามผู้เขียน นอกจากนี้บทประพันธ์ที่เป็นวรรณคดีจะต้องมีรูปศิลปะ ( form ) เท่าที่กล่าวมาแล้วพอสรุปได้ว่าวรรณคดี คือ เรื่องที่มีลักษณะดังนี้
๑ . ใช้ถ้อยคำสำนวนโวหารไพเราะสละสลวย
๒ . ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ
๓ . ยกระดับจิตใจให้สูง
๔ . ใช้เป็นแบบแผนในการแต่งได้

พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งวรรณคดีสโมสร กล่าวว่า
๑ . เป็นหนังสือดี กล่าวคือ เป็นเรื่องที่สมควรซึ่งสาธารณชนจะอ่านได้โดยไม่เสียประโยชน์ คือไม่เป็นเรื่องที่ชักจูงความคิดผู้อ่านไปในทางอันไม่เป็นแก่นสาร ซึ่งจะชวนให้คิดวุ่นวานทางการเมืองอันเกิดเป็นเรื่องรำคาญแก่รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ( เพราะคนรู้น้อยอาจจะไขว้าเขวได้ )
๒ . เป็นหนังสือแต่งดี ใช้วิธีเรียบเรียงอย่างใด ๆ ก็ตามแต่ต้องให้เป็นภาษาไทยอันดี ถูกต้องตามเยี่ยงที่ใช้ในโบราณกาลหรือปัจจุบันกาลก็ได้ ไม่ใช้ภาษาต่างประเทศ ( เช่น ใช้ว่า ไปจับรถ แทน ไปขึ้นรถ และ มาสาย แทน มาช้า ดังนี้เป็นตัวอย่าง )
ร้อยกรอง คือ บทประพันธ์ที่แต่งให้มีสัมผัสของคำเชื่อมโยงกัน โดยมีคณะของคำตามหลักที่กำหนดไว้ในฉันทลักษณ์หรือตำรากลอนต่าง ๆ เช่น มีครุ ลหุ เอก โท เป็นต้น รูปแบบของร้อยกรองวรรณคดีที่เป็นร้อยกรอง ( กาพย์กลอนของไทย ) ได้เจริญเรื่อยมา และแบ่งตามรูปแบบคำประพันธ์ที่ใช้แต่งเรื่องนั้น ๆ ได้ดังนี้
๑ . คำหลวง เป็นเรื่องที่พระมหากษัตริย์หรือเจ้านายชั้นสูงในพระราชวงศ์ทรงแต่ง หรือ ทรงเกี่ยวข้องในการแต่ง ไม่จำกัดรูปแบบคำประพันธ์ แต่ต้องเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับศีลธรรมจรรยา เท่าที่ปรากฏชื่อในวรรณคดีมีอยู่ ๔ เรื่อง คือ มหาชาติคำหลวง นันโทปนันทสูตรคำหลวง พระมาลัยคำหลวง และพระนลคำหลวง
๒ . คำฉันท์ ได้แก่ วรรณคดีที่แต่งเป็นฉันท์ชนิดต่าง ๆ มักมีกาพย์บางชนิดปนอยู่ด้วย เช่น สมุทรโฆษคำฉั นท์ สามัคคีเภทคำฉันท์ เป็นต้น
๓ . คำโคลง ได้แก่ วรรณคดีที่แต่งเป็นโคลงคั้นหรือโคลงสี่สุภาพ เช่น โคลงนิราศนรินทร์ เป็นต้น
๔ . คำกลอน วรรณคดีที่แต่งเป็นคำกลอนชนิดต่าง ๆ ได้แก่ กลอนสุภาพ กลอนเสภา กลอนบทละคร กลอนหก เช่น พระอภัยมณี เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นต้น
๕ . คำกาพย์ ได้แก่ วรรณคดีที่แต่งเป็นกาพย์ยานี กาพย์ฉบัง กาพย์สุรางคนางค์ เช่น กาพย์เรื่องพระไชยสุริยา เป็นต้น
๖ . กาพย์ห่อโคลง กาพย์เห่เรือ ได้แก่ วรรณคดีที่แต่งด้วยโคลงและกาพย์ เช่น กาพย์ห่อโคลงประพาศธารทองแดง กาพย์เห่เรือของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร เป็นต้น ๗ . ร่ายยาว ได้แก่ วรรณคดีที่แต่งเป็นร่ายยาว เช่น ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก เป็นต้น ๘ . ลิลิต ได้แก่ วรรณคดีที่แต่งโดยใช้โคลงและร่ายปนกัน รับสัมผัสคำแบบลิลิต เช่น ลิลิตพระลอ ลิลิตตะเลงพ่าย ลิลิตนิทราชาคริต เป็นต้นนอกจากแบ่งตามลักษณะคำประพันธ์แล้ว ยังแบ่งตามเนื้อเรื่อง เช่น นิราศ เพลงยาว นิทานคำกาพย์ นิทานคำกลอน คำสอน เป็นต้น บทละคร คือ เรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อการแสดงบนเวทีรูปแบบของบทละคร ๑ . บทละครรำ เป็นบทละครแบบเดิมของไทย ได้แก่ บทละครเรื่องอิเหนา รามเกียรติ์ สังข์ทอง เป็นต้น๒ . บทละครแบบตะวันตก ได้แก่ บทละครพูดเรื่องหัวใจนักรบ บทละครร้องเรื่องสาวเครือฟ้า บทละครคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธา เป็นต้นการแบ่งประเภทวรรณคดีตามเกณฑ์ต่าง ๆ วรรณคดีไทยอาจแบ่งตามเกณฑ์ต่าง ๆ ได้ดังนี้ ๑ . สารคดี คือ หนังสือที่มุ่งให้ความรู้แก่ผู้อ่านเป็นสำคัญแต่ในขณะเดียวกันก็ใช้กลวิธีการเขียนให้เกิดความบันเทิงเป็นผลพลอยได้ไปด้วย เช่น บทความหรือความ เรียง หนังสือสารคดี ตำรา บันทึก จดหมายเหตุ รายงาน พงศาวดาร ตำนาน ปาฐกถา คำสอน ๒ . บันเทิงคดี คือ หนังสือที่มุ่งให้ความสนุกเพลิดเพลินแก่ผู้อ่านมากกว่าความรู้ แต่อย่างไรก็ดี บันเทิงคดีย่อมมีเนื้อหาที่เป็นสาระสำคัญแทรกอยู่ด้วยในรูปของคติ ชีวิตและเกร็ดความรู้ เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย บทละครพูด นิทาน นิยายแบ่งตามลักษณะที่แต่ง แยกได้ ๒ ประเภท คือ- ร้อยแก้ว อาจแต่งเป็นสารคดีหรือบันเทิงคดี โดยมีรูปแบบต่าง ๆ- ร้อยกรอง หมายถึง ความเรียงที่ใช้ภาษาพูดตามธรรมดา แต่มีรูปแบบโดยเฉพาะและมีความไพเราะเหมาะเจาะด้วยเสียงและความหมาย ร้อยกรองอาจเรียกว่าคำประพันธ์ กาพย์กลอน หรือ กวีนิพนธ์ ก็ได้ ร้อยกรองแต่เป็นกลอน โคลง ร่ายกาพย์และฉันท์ อาจแต่งเป็นสารคดีและบันเทิงคดี ส่วนมากเป็นบันเทิง คดี โดยอาจแบ่งรูปตามชนิดของคำประพันธ์ หรือลักษณะของเนื้อเรื่องแบ่งตามลักษณะการจดบันทึก แยกได้ ๒ ประเภท คือ๑ . วรรณคดีลายลักษณ์อักษร ได้แก่ วรรณคดีที่บันทึกไว้เป็นหนังสืออาจเป็นตัวจารึก ตัวเขียน หรือตัวพิมพ์ก็ได้๒ . วรรณคดีที่ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ วรรณคดีที่บอกเล่าจดจำสืบต่อกันมา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วรรณคดีมุขปาฐะ เช่นเพลงพื้นเมือง บทเห่กล่อม นิทานพื้นบ้าน ปริศนาคำทาย การแบ่งประเภทวรรณคดีดังกล่าวอาจคาบเกี่ยวกันได้ สารคดีโดยทั่วไปมักแต่งเป็นร้อยแก้วแต่อาจแต่งเป็นร้อยกรองก็ได้บันเทิงคดีอาจแต่งเป็นร้อยกรองหรือร้อยแก้วก็ได้
วรรณคดีไทยแบ่งสมัยการแต่งได้ดังนี้
๑ . วรรณคดีสมัยสุโขทัย ( พ.ศ. ๑๘๐๐ - ๑๙๒๐ )
๒ . วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น ( พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๐๗๒ )
๓ . วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลาง ( ยุคทองของวรรณคดี พ.ศ. ๒๑๖๓ - ๒๒๓๑๔)
๔ . วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย ( พ.ศ. ๒๒๙๕ - ๒๓๑๐๕ )
๕ . วรรณคดีสมัยธนบุรี ( พ.ศ. ๒๓๑๐ - ๒๓๒๕๖ )
๖ . วรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ ( พ.ศ. ๒๓๒๕ - ปัจจุบัน )


เนื่องจากการแต่งวรรณคดี มักจะมีส่วนสัมพันธ์กัน ประวัติศาสตร์และสภาพสังคมในยุคสมัยนั้น ๆ เพราะฉะนั้นการอ่านวรรณคดีให้ได้คุณค่าอย่างแท้จริง จำเป็นจะต้องเรียนประวัติวรรณคดีประกอบด้วย ซึ่งต้องพิจารณาถึงประเด็นสำคัญของวรรณคดี ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
๑ . ผู้แต่ง รวมถึงชีวประวัติและผลงานสำคัญ
๒ . ที่มาของเรื่อง ได้แก่ เรื่องที่เป็นต้นเค้า อาจจะได้รับอิทธิพลภายในประเทศ หรือที่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ
๓ . ความมุ่งหมายที่แต่ง ได้แก่ ความบันดาลใจหรือความมุ่งหมายของผู้แต่งในการแต่งวรรณคดีนั้น ๆ
๔ . วิวัฒนาการและความสัมพันธ์ต่อเนื่องระหว่างวรรณคดีแต่ละสมัย
๕ . สภาพสังคมในสมัยที่แต่ง ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรม สภาพสังคม และเหตุการณ์ของบ้านเมืองในระยะเวลาที่แต่ง๖ . อิทธิพลที่วรรณคดีมีต่อสังคมทั้งในสมัยที่แต่งและในสมัยต่อมาวรรณคดีสมัยสุโขทัย ( ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ - พ.ศ. ๑๙๒๐ )
ชาติไทยเริ่มมีประวัติเป็นหลักฐานชัดเจน เมื่อไทยได้ตั้งอาณาจักรขึ้น ณ ดินแดนสุวรรณภูมิและมีนครหลวงอยู่ที่เมืองสุโขทัย หลักฐานการตั้งอาณาจักรนั้นได้ปรากฏในศิลาจารึกวัดมหาธาตุ และศิลาจารึกวัดศรีชุมหลักที่ ๒ ว่า มีพ่อเมืองไทย ๒ คน ชื่อพ่อขันบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง กับ พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด บุตรของพ่อขุนศรีนาวนำถมเจ้าเมืองสุโขทัย ซึ่งขณะนั้นเป็นประเทศราชของขอม พ่อเมืองทั้งสองนี้ได้รวมกำลังกันยกทัพมาตีสุโขทัย ซึ่งมีผู้ปกครองเมืองเรียกว่า ขอมสมาดโขลญลำพง รักษาอยู่ เมื่อตีได้เมืองสุโขทัยแล้ว พ่อขุนผาเมืองได้อภิเษกให้พ่อขุนบางกลางหาวเป็นเจ้าเมืองครองกรุงสุโขทัย มีนามตามอย่างที่ขอมเคยตั้งนามเจ้าเมืองสุโขทัยแต่ก่อนว่า ศรีอินทรปติทราทิตย์ แต่เรียนในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงว่า ขุนศรีอินทราทิตย์ นับว่ากรุงสุโขทัยเป็นศูนย์กลางการปกครองและมีเอกราชโดยสมบูรณ์เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ มีมเหสีชื่อนางเสือง และมีพระราชโอรสด้วยกัน ๓ พระองค์ องค์ใหญ่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเยาว์ องค์กลางมีนามว่า บานเมือง และองค์เล็กมีนามว่า พระรามคำแหง เมือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เสด็จสวรรคตแล้ว พ่อขุนบานเมืองได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา พ่อขุนบานเมืองได้ครองราชย์อยู่จนถึงราว พ.ศ. ๑๘๒๒ ก็สวรรคต พระรามคำแหงพระอนุชาจึงได้รับราชสมบัติขึ้นครองกรุงสุโขทัยสืบต่อมา
วรรณคดีสมัยสุโขทัย มีนิทานพื้นเมืองหรือเพลงพื้นเมือง ที่ถ่ายทอดกันมาโดยความทรงจำ เรียกกันว่า วรรณคดีมุขปาฐะ คือ วรรณคดีที่ใช้การเล่าถ่ายทอดกันมาไม่มีการจดบันทึก เป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนที่นับได้ว่าเขียนเป็นตัวอักษรก็คือศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง วรรณคดีสำคัญที่สันนิษฐานว่าเกิดในสมัยสุโขทัยมี ๔ เรื่อง คือ
๑ . ศิลาจารึกหลักที่ ๑ จารึกสุโขทัย ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
๒ . ไตรภูมิพระร่วง ( ไตรภูมิกถา หรือ เตภูมิกถา )
๓ . สุภาษิตพระร่วง
๔ . คำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ( นางนพมาศ )
วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้น ( พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๐๗๒ )
ลักษณะวรรณคดีวรรณคดีสำคัญในสมัยอยุธยาตอนต้นส่วนใหญ่มีเรื่องเกี่ยวกับศาสนา พิธีกรรมและพระมหากษัตริย์จึงมีเนื้อหาคล้ายวรรณคดีสมัยสุโขทัย ส่วนลักษณะการแต่งต่างกับวรรณคดีสุโขทัยเป็นอย่างมาก วรรณคดีในสมัยนี้แต่งด้วยร้อยกรองทั้งสิ้น คำประพันธ์ที่ใช้มีเกือบทุกชนิด คือ โคลง ร่าย กาพย์ และฉันท์ ขาดแต่กลอน ส่วนใหญ่แต่งเป็นลิลิต คำบาลี สันสกฤต และเขมรเข้ามาปะปนในคำไทยมากขึ้นวรรณคดีสำคัญในสมัยนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และความเคลื่อนไหวทางวรรณคดี
-สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ( พระเจ้าอู่ทอง ) ทรงตั้งกรุงศรีอยุธยา ๑๘๙๓ แต่งลิลิตโองการแช่งน้ำ
-สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตีได้เมืองเชียงชื่น ( เชลียง ) ๒๐๑๗ แต่งลิลิตยวนพ่าย ( สันนิษฐาน )
-สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดให้ฉลองวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ( ที่พิษณุโลก ) ๒๐๒๕ แต่งมหาชาติคำหลวง แต่งลิลิตพระลอ ( สันนิษฐาน )
-สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ ซึ่งเป็นพระราชโอรสขึ้นครองราชย์ ๒๐๓๑ แต่งโคลงทวาทศมาส ( สันนิษฐาน )
-สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ซึ่งเป็นพระราชอนุชาขึ้นครองราชย์ ๒๐๓๔ แต่งลิลิตยวนพ่าย ( สันนิษฐาน ) แต่งโคลงกำสรวล ( สันนิษฐาน ) แต่งลิลิตพระลอ ( สันนิษฐาน ) ๒๐๖๐ แต่งโคลงหริภุญชัย ( สันนิษฐาน ) ๒๐๖๑ แต่งตำราพิชัยสงคราม

วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลาง ( พ.ศ. ๒๑๖๓ - พ.ศ. ๒๒๓๑ )
กวีและวรรณคดีสำคัญสมัยอยุธยาตอนกลางสมัยนี้ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของวรรณคดี ซึ่งมีกวีและวรรณคดีเกิดขึ้นมากมาย คือ
๑ . สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ( พ.ศ. ๒๑๖๓ - ๒๑๗๑ ) หนังสือที่ทรงพระราชนิพนธ์ คือกาพย์มหาชาติ
๒ . สมเด็จพระรานายณ์มหาราช ( พ.ศ.๒๑๙๙ - ๒๒๓๑ ) หนังสือที่ทรงพระราชนิพนธ์ คือ
๒.๑ . สมุทรโฆษคำฉันท์ ตอนกลาง
๒.๒ . โคลงสุภาษิตพาลีสอนน้อง ทศรสอนพระราม ราชสวัสดิ์
๒.๓ . คำฉันท์กล่อมช้าง เข้าใจกันว่าสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงพระราชนิพนธ์
๒.๔ . เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา แต่บางคนกล่าวว่าขุนหลวงสรศักดิ์ ( พระศรีสรรเพชญ์ที่ ๘ ) ทรงพระราชนิพนธ์
๓ . พระมหาราชครู หนังสือที่แต่ง คือ
๓.๑ . สมุทรโฆษคำฉันท์ ตอนต้น
๓.๒ . เสือโคคำฉันท์
๔ . พระโหราธิบดี หนังสือที่แต่ง คือ
๔.๑ . จินดามณี
๔.๒ . พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ ฯ
๕ . พระศรีมโหสถ หนังสือที่แต่ง คือ
๕.๑ . โคลงอักษรสามหมู่
๕.๒ . โคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์มหาราช
๕.๓ . กาพย์ห่อโคลง
๖ . ศรีปราชญ์ หนังสือที่แต่ง คือ
๖.๑ . อนิรุทธคำฉันท์
๖.๒ . โคลงกำสรวล
๖.๓ . โคลงเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ
๗ . ขุนเทพกวี หนังสือที่แต่ง คือคำฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง
๘. หนังสือที่ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง คือ
๘.๑ . ลิลิตพระลอ
๘.๒ . โคลงนิราศหริภุญชัย

ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ความเคลื่อนไหวทางวรรณคดีสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงพระราชนิพนธ์กาพย์มหาชาติ ( พ.ศ. ๒๑๗๐ )สมเด็จพระเจ้าปราสาททองขึ้นครองราชย์ พระเจ้าลูกยาเธอฝ่ายในสิ้นพระชนม์ พบเนื้อในพระศพเผาไม่ไหม้ เชื่อกันว่า ต้อนคุณมีการทำลายตำราไสยศาสตร์ เพราะเกรงต้องโทษ ( พ.ศ. ๒๑๗๓ ) วรรณคดีสำคัญ ๆ อาจถูกทำลายไปพร้อมกับตำราไสยศาสตร์ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเสด็จสวรรคต ๒๑๙๘ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชขึ้นครองราชย์ ๒๑๙๙ พระมหาราชครูแต่งเสือโคคำฉันท์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีพระชนมายุ ครบเบญจเพส ๒๑๙๙ พระมหาราชครูแต่งสมุทรโฆษ คำฉันท์ (ตอนต้น) สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระราชนิพนธ์ สมุทรโฆษคำฉั นท์ ต่อจากพระมหาราชครูสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระราชนิพนธ์ โคลงพาลีสอนน้อง โคลงทศรถสอนพระราม โคลงราชสวัสดิ์พุทธศักราช ๒๒๐๐ ภิกษุชาวเชียงใหม่แต่งปัญญาสชาดก พุทธศักราช ๒๒๐๑ พระศรีมโหสถแต่งโคลงนิราศนครสวรรค์ สมเด็จพระนารายมหาราชเสด็จประพาส เมืองนครสวรรค์ทางชลมารค ( พ.ศ. ๒๒๐๑ ) ได้ช้างเผือกมาจากเมืองนครสวรรค์พระราชทานนามว่า เจ้าพระยาบรมคเชนทรฉันทันต์ ๒๒๐๓ ขุนเทพกวีแต่งฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง ( สันนิษฐาน ) พระศรีมหโหสถแต่งโคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระโหราธิบดีแต่งจินดามณี สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้รวบรวมจดหมายเหตุต่าง ๆ รวมถึงพระราชพงศาวดารของพระโหราธิบดี พุทธศักราช ๒๒๒๓ พระโหราธิบดีแต่งพระราชพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยา ศรีปราชญ์แต่งอนุรุทธ์คำฉันท์ และโคลงเบ็ดเตล็ดพระศรีโหสถแต่งกาพย์ห่อโคลงและโคลงอักษรสามหมู่

วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย ( พ.ศ. ๒๒๗๕ - พ.ศ. ๒๓๑๐ ) กวีและวรรณคดีสำคัญสมัยอยุธยาตอนปลาย
๑ . พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ งานที่ทรงพระราชนิพนธ์ คือโคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์
๒ . เจ้าฟ้าอภัย งานที่ทรงนิพนธ์ คือโคลงนิราศ
๓ . เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร งานที่ทรงนิพนธ์ คือ
๓.๑ นันโทปนันทสูตรคำหลวง
๓.๒ พระมาลัยคำหลวง
๓.๓ กาพย์เห่เรือ
๓.๔ กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง
๓.๕ กาพย์ห่อโคลงนิราศ
๓.๖ บทเห่เรื่องกากี เห่สังวาส เห่ครวญ และเพลงยาว
๔ . เจ้าฟ้ากุณฑล งานที่ทรงนิพนธ์ คือดาหลัง ( อิเหนาใหญ่ )
๕ . เจ้าฟ้ามงกุฎ งานที่ทรงนิพนธ์ คืออิเหนา ( อิเหนาเล็ก )
๖ . พระมหานาควัดท่าทราย งานที่แต่ง คือ
๖.๑ ปุณโณวาทคำฉันท์
๖.๒ โคลงนิราศพระบาท๗ . หลวงศรีปรีชา ( เซ่ง ) งานที่แต่ง คือ กลบทสิริวิบุลกิติ

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ยีนและโครโมโซม


เซลล์ทุกเซลล์ในสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยโครโมโซม โครโมโซมในร่างกายสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด มีจำนวนคงที่และเท่ากันเสมอ โครโมโซมของโพรคาริโอตและยูคาริโอต มีลักษณะที่แตกต่างกัน

•ในโพรคาริโอต เช่น เซลล์แบคทีเรียโครโมโซมประกอบด้วยDNAรูปวงแหวน(circular DNA)เพียงชุดเดียว เรียกว่า จีโนฟอร์(genophore) ซึ่งเป็น DNA อย่างเดียวไม่มีโปรตีนอยุ่ด้วยแบคทีเรียE. coli มีจำนวนจีนประมาณ 3,000 - 4,000 จีน ในไวรัสบางชนิด มีRNAทำหน้าที่เป็นโครโมโซม(RNA virus) ซึ่งมีขนาดเล็กมาก โดยมีจีนเพียง 3 จีนเท่านั้น

•ในยูคาริโอต โครโมโซมประกอบด้วย DNA RNA และโปรตีน โดยโปรตีนมี 2 ชนิดคือ โปรตีนฮิสโทน(histone) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนประจุบวก ซึ่งมีฤทธิ์เป็นเบสจำนวนมาก เช่น ไลซีน อาร์จีนีน ช่วยให้ DNA เกาะกับโปรตีนได้อย่างดีและติดแน่น และโปรตีน นอน-ฮิสโทน(non-histone) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดอื่นๆ จากการศึกษาเซลล์ยูคาริโอตชนิดต่างๆ พบว่า RNA และนอน-ฮิสโทน มีจำนวนน้อยและแปรผันไปตามชนิดของเซลล์ ส่วน DNA และฮิสโทนในเซลล์ทุกชนิดมีสัดส่วนค่อนข้างคงที่ คือประมาณ 1 : 1 ซึ่งแสดงว่า DNA และโปรตีนฮิสโทนมีความสำคัญมาก

นิวคลีโอโซม
นิวคลีโอโซม (nucleosome) คือโปรตีนฮิสโทนที่ผูกพันด้วย DNA 2 รอบ ทำให้มีลักษณะเหมือนลูกปัดที่ถูกร้อยด้วยเส้นด้าย (beads-on-a string) โดยเส้นด้ายคือ DNA ตัวเชื่อม( linker DNA ) ซึ่งมีความยาวไม่คงที่ เมื่อย้อมสี โครโมโซมจะพบเป็นแถบสี 2 แบบคือ 1. ยูโครมาทิน(euchromatin) เป็นแถบสีจางเรียงตัวอย่างมีระเบียบเป็นที่ตั้งของจีนจำนวนมาก ที่ทำหน้าที่2. เฮเทอโรโครมาทิน(heterochromatin) เป็นบริเวณแถบสีเข้ม เป็นที่ตั้งของจีนจำนวนน้อย และมักไม่ได้ทำหน้าที่
โครโมโซมแต่ละโครโมโซมประกอบด้วย ส่วนต่างๆคือ
1.เซนโทรเมียร์(centromere) มีชื่อเรียกหลายชื่อเช่น ไคนีโทคอร์(kinetochore) หรือไพรมารี คอนสตริกชัน(primary constriction) เป็นตำแหน่งที่แขนทั้งสองข้างของโครโมโซมมาพบกัน ซึ่งเป็นที่อยู่ของโปรตีนชนิดพิเศษ และ DNA รวมทั้งมีสปินเดิลจำนวนมากมาเกาะอยู่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของโครโมโซมไปยังขั้วของเซลล์ ตามปกติเซนโทรเมียร์จะแบ่งตัวตามยาวในระยะแอนาเฟส แต่ถ้าหากแยกกันตามขวางจะทำให้โครโมโซมที่แยกออกจากกันผิดปกติ
•2.โครโมนีมาตา(chromonemata) ภายในโครโมโซมหรือโครมาตินโครมาทิดประกอบ ด้วยหน่วยย่อยคือ โครมานีมาตา ซึ่งลักษณะเส้นใยยาวขดตัวจำนวนมากมายซึ่งก็คือ DNA และโปรตีนนั่นเอง
•3.เมทริกซ์(matrix) เป็นส่วนที่ล้อมรอบโครโมนีมาตา มีผนังเป็นปลอก(sheath หรือ pellicle) ยังไม่ทราบหน้าที่แน่นอน แต่เป็นไปได้ว่าช่วยทำให้โครโมนีมาตารวมตัวกันเป็นโครโมโซมได้สะดวกขึ้น และช่วยห่อหุ้มจีนในขณะแบ่งเซลล์
•4.แซทเทลไลต์(satellite) คือส่วนสั้นๆที่อยู่บริเวณปลายๆของโครโมโซมเกิดจากคอดของโครโมโซมอีกตำแหน่งหนึ่ง(sacondary constriction) ใช้เป็นเครื่องหมายในการจำแนกโครโมโซมได้ การสร้างนิวคลีโอลัส(nucleolus) มักจะเกี่ยวข้องกับการคอดของโครโมโซมในตำแหน่งนี้(sacondary constriction) และเรียกบริเวณที่โครโมโซมซึ่งมีการสร้างนิวคลีโอลัสว่า นิวคลีโอลาร์ ออร์แกไนซิง ริเจียน (nucleolus organizing region , NOR)

สารพันธุกรรม
•สารพันธุกรรม เป็นแหล่งเก็บข้อมูลทั้งหมดสำหรับควบคุมโครงสร้างและการทำหน้าที่ของกระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตให้เป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำ สารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยกรดนิวคลีอิกชนิดใดชนิดหนึ่งอาจเป็น DNA หรือ RNA สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่จะมีสารพันธุกรรมเป็น DNA ยกเว้นไวรัสบางชนิดเท่านั้นที่มีสารพันธุกรรมเป็น RNA

•สารพันธุกรรมมีสมบัติเป็นกรดนิวคลีอิก มีอยู่ 2 ชนิด คือ1. Deoxyribonucleic acid (ดีเอ็นเอ) พบในสิ่งมีชีวิตทั่วไป2. Ribonucleic acid (อาร์เอ็นเอ) พบในไวรัสบางชนิดเท่านั้น

•ในการศึกษาสารพันธุกรรมนั้น มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านศึกษาเป็นขั้นตอนดังนี้ พ.ศ. 2412 โยฮันน์ ฟรีดริช มิเชอร์ ( Johann Friedrich Miescher ) ค้นพบกรดนิวคลีอิคจากสารเคมีที่สกัดจากนิวเคลียสของเซลล์เม็อเลือดขาว ต่อมาพบว่า กรดนิวคลีอิค มี 2 ชนิด คือ DNA และ RNA ในนิวเคลียสมีสารที่มีธาตุไนโตรเจนและฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบ

•พ.ศ. 2414-2415 รอเบิร์ต ฟลูเกน
•( Robert Feulgen ) ใช้สีฟุลซินย้อมเซลล์และพบว่าสารที่ย้อมติดสี คือ DNAและสีย้อมติดเฉพาะภายในเท่านั้นนิวเคลียส แสดงว่า DNAมีอยู่เฉพาะในนิวเคลียส

•พ.ศ.2471 เอฟ กริฟฟิท ( F. Griffth ) ได้ทำการพิสูจน์สารพันธุกรรม เพื่อสนับสนุนว่า DNAเป็นสารพันธุกรรม โดยทำการทดลองเกี่ยวกับเชื้อแบคทีเรีย Pneumococcus ที่ทำให้เกิดโรคปอดบวม ซึ่งมี 2 สายพันธุ์ใหญ่ๆ คือ สายพันธุ์ Rเป็นชนิดที่ไม่ทำให้เกิดโรคปอดบวม ไม่สร้างแคปซูล กับ S เป็นชนิดที่ทำให้เกิดโรคปอดบวม พบว่าแบคทีเรียสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคที่ทำให้ตายด้วยความร้อน มีสารบางอย่างที่ไปทำให้แบคทีเรียสายพันธุ์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค เป็นสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคได้และสามารถถ่ายทอดลักษณะนี้ไปสู่ลูกหลาน

•พ.ศ. 2487 โอ.ที. แอเวอรี( O.T. Avery ) ซี. แมคลอยด์ ( C. Macleod )และเอ็ม แมคคาร์ที ( M. Mc Carty) ได้ทำการทดลองคล้ายกับ Griffth เพียงแต่ใช้วิธีสกัด DNAจาก แบคทีเรีย ชนิด Sแล้วนำสารเหล่านี้ใส่รวมกับแบคทีเรียชนิด R ในหลอดทดลอง จากการทดลองของ Averyและคณะทำให้มีการยอมรับว่า DNAคือสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต แต่มีสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่มี RNA เป็นสารพันธุกรรม เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ โรคมะเร็งบางชนิด โรคใบด่างในใบยาสูบ ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น โอ ที แอเวอรี่ และคณะ แสดงให้เห็นว่า DNA เป็นสารที่สามารถเปลี่ยนพันธุกรรมของ แบคทีเรียสายพันธุ์ R ให้เป็น สายพันธุ์ S จึงสรุปว่า DNA เป็นสารพันธุกรรม

แบบฝึกปฏิบัติการ เรื่อง การจำลองโครงสร้างของ DNA
•ชิ้นจุดประสงค์ - 1 นักเรียนสามารถศึกษาอธิบายโครงสร้างของ DNAโดยรูปแบบการจำลองได้สร้างหุ่นจำลอง DNA ด้วยกระดาษเป็นการสร้างหุ่นจำลองที่ใช้วัสดุ ราคาถูก คือใช้กระดาษคล้าย ๆ กับกระดาษปกของสมุดปกอ่อน นักเรียนสามารถจะขึ้นได้เองโดยแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลยโดยใช้ปกสมุดที่ไม่ใช้แล้ววิธีทำมีดังต่อไปนี้1. ตัดกระดาษตามแบบในภาพให้ได้มาก ๆ (DNA สายหนึ่งควรใช้ไม่น้อยกว่า 20 )

•2. พับกระดาษตามรอยปรุทั้ง 4 ตำแหน่ง ให้มีลักษณะคล้ายชั้นบันได โดยตำแหน่งที่ 1 และตำแหน่งที่ 3 ให้พับลง ส่วนตำแหน่งที่ 2 และตำแหน่งที่ 4 ให้พับขึ้น3 ตัดหลอดดูดกาแฟให้เป็นท่อนยาวประมาณ ครึ่งนิ้ว 20 ท่อน4. ร้อยกระดาษกับหลอดกาแฟที่เตรียมไว้แล้วด้วยเชือกป่านยาวประมาณ 3 ฟุต โดยร้อยสลับกันไปเรื่อย ๆ จะใช้กระดาษชิ้นใดก่อนหลังหรือซ้ำ ๆ กันอย่างไรก็ได้ จนได้สาย ยาวประมาณ 2

•5. ใช้กาวติดเชื่อมระหว่างส่วนที่พับขึ้นและพับลงของกระดาษแต่ละชิ้น โดยให้ ตำแหน่งที่ 1ของชิ้นบน เชื่อมกับตำแหน่งที่ 2 ของชิ้นล่าง และให้ตำแหน่งที่ 3 ของชิ้นบน เชื่อมติดกับตำแหน่งที่ 4 ของชิ้นล่าง เป็นดังนี้เรื่อยไปจนกระดาษทุกชิ้นเชื่อมติดกัน เป็นสายยาวจะได้หุ่นจำลอง DNA ที่ทำด้วยกระดาษ 1 สาย ที่ให้รายละเอียดของแต่ละหน่วยย่อยได้ดีแสดงให้เห็นถึงการจัดเกาะกันของแต่ละอะตอม ถ้านักเรียนได้ดำเนินการประกอบตาม คำแนะนำ โดยตลอดทุกขั้นตอนแล้ว การทำมุมและระยะห่างของช่วงที่บิดเป็นเกลียวแต่ละ ช่วงจะถูกต้องใกล้เคียงความจริงมาก อาจดัดแปลงการสร้างหุ่นจำลอง DNA ด้วยกระดาษนี้ให้ดียิ่งขึ้นได้ เช่น ใช้กระดาษสี ต่างกันในคู่ของเบสต่างชนิดกัน หรือให้นักเรียนระบายสีหน่วยย่อยแต่ละหน่วยให้สีแตกต่าง กันรือสร้างขึ้นโดยไม่ต้องใช้เชือกและหลอดดูดกาแฟเป็นแกนเพื่อที่จะสามารถพับและนำ ไปไหนต่อไหนได้สะดวกขึ้น

สร้างแบบจำลองDNAอย่างง่าย ๆวิธีทำ ตัดเส้น Sugar-Phosphate Backbone A และ B ตัดชิ้น Base-pair “rungs” พับชิ้น Base-pair ดังภาพ ใช้กาวทาขอบสีเทาด้านนอกของชิ้น Base-pair ทั้งด้านซ้ายและขวา ติดชิ้น Base-pair ด้านหนึ่งกับช่องสี่เหลี่ยมใน Sugar-Phosphate Backbone A แล้วติดอีกด้านหนึ่งที่เหลือกับช่องสี่เหลี่ยมใน Sugar-Phosphate Backbone B (เรียงลำดับตามหมายเลข) จะได้แบบจำลองเกรียวคู่ของเส้นDNA ลองเปรียบเทียบแบบจำลองที่สร้างขึ้นกับรูปโครงสร้างของDNA
•โครงสร้างของDNA ประกอบด้วยเส้นโครงลักษณะเกลียวคู่ของน้ำตาลและฟอสเฟต มีเบส 4 ชนิดอยู่ตรงกลาง คือ
•1Thymine (T)
•2 Cytosine ( C)
•3Adenine (A )
•4 Guanine (G)
•ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วย
DNA
•องค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ DNA ประกอบด้วย หน่วยย่อยของ Nucleotides จับกันด้วยพันธะ Phosphodiester Bond และ Nucleotides นี้ประกอบด้วย น้ำตาล Deoxyribose หมู่ฟอสเฟต และเบส (Nitrogenous Base) 4 ชนิด ได้แก่ Guanine (G) , Adenine (A) (Purine - มีวงแหวน 2 วง) Cytosin (C) , Thymine (T)

•แบบจำลองโครงสร้างของ DNAJ.D. Watson
• นักชีววิทยาอเมริกัน & F.H.C. Crick นักฟิสิกส์อังกฤษ เสนอโครงสร้างของ DNA ได้รับ Nobel Prize ตีพิมพ์ผลงานใน Nature ฉบับวันที่ 25 เดือนเมษายน ค.ศ. 1953 1. ประกอบด้วย 2 polynucleotides ยึดกันโดยการจับคู่กันของเบส โดย H-bond 2. ทั้ง 2 สายขนานกันและมีติดทางตรงข้าม (antiparallel)

•3. การจับคู่กันของเบสระหว่าง A - T (2 H-bonds), C - G (3 H-bonds) = complementary basepairs (เบสที่เป็นเบสคู่สมกัน คือ A จับคู่กับ T ด้วยพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ และGจับคู่กับ C ด้วยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ)
• 4. ทั้ง 2 สายจะพันกันเป็นเกลียวเวียนขวา (right handed double strand helix)5. แต่ละคู่เบสห่างกัน 3.4 อังสตรอม (.34 nm) เอียงทำมุม 36 องศา 1 รอบ = 10 คู่เบส = 34 อังสตรอมเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 อังสตรอม
พันธะไฮโดรเจนตัดเป็นชิ้นๆแล้วพับตามรูป
โครงสร้างของ DNA
•โครงสร้างของ DNA ประกอบด้วยพอลีนิวคลิโอไทด์ 2 สาย พอลีนิวคลีโอไทด์แต่ละสายประกอบด้วยหน่วยย่อยที่เรียกว่านิวคลีโอไทด์ มาเชื่อมต่อกันเป็นสายยาว พอลีนิวคลีโอไทด์ทั้ง 2 สาย จะยึดติดกันด้วยพันธะไฮโดรเจนระหว่างเบส นิวคลีโอไทด์แต่ละหน่วยเชื่อมต่อกัน โดยพันธะที่เกิดระหว่างกลุ่มฟอสเฟตของนิวคลีโอไทด์หนึ่งกับคาร์บอนตำแหน่งที่ 3' ของน้ำตาลอีกนิวคลีโอไทด์หนึ่งดังนั้นโครงสร้างสายพอลินิวคลีโอไทด์เป็นการต่อสลับระหว่างกลุ่มฟอสเฟตกับกลุ่มน้ำตาลโดยสายหนึ่งมีทิศทางจากปลาย5'ไปยังปลาย 3' อีกสายหนึ่งจะจับอยู่กับปลาย5'ของสายแรก ดังนั้นเมื่อเกิดการแยกตัวของ DNA ทั้งสองสายส่วนที่แยกออกมาจึงมีทิศทางต่างกัน

การจำลองโมเลกุลของ DNA
การจำลองตัวเองของ DNA มีหลายแบบนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งสมมติฐานการเกิดการจำลองตัวเองของ DNA ไว้ ดังนี้ 1. แบบกึ่งอนุรักษ์ (semiconservative replication) เมื่อมีการจำลองตัวเองของDNA แล้ว DNAแต่ละโมเลกุลมีพอลินิวคลีโอไทด์ สายเดิมและสายใหม่ ซึ่งเป็นแบบจำลองของวอตสันและคริก 2. แบบอนุรักษ์ (conservative replication) เมื่อมีการจำลองตัวเองของ DNA แล้วพอลินิวคลีโอไทด์ทั้งสองสายไม่แยกจากกันยังเป็นสายเดิม จะได้ DNA โมเลกุลใหม่ที่มีพอลินิวคลีโอไทด์ สายใหม่ทั้งสองสาย 3. แบบกระจัดกระจาย (dispersive replication) เมื่อมีการจำลองตัวเองของ DNAจะได้ DNA ที่เป็นของเดิมและของใหม่ปะปนกันไม่เป็นระเบียบ